ธาตุกัมมันตรังสี หมายถึง
ธาตุที่แผ่รังสีได้ เนื่องจากนิวเคลียสของอะตอมไม่เสถียร
เป็นธาตุที่มีเลขอะตอมสูงกว่า 82
กัมมันตภาพรังสี หมายถึง
ปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสีได้เองอย่างต่อเนื่อง รังสีที่ได้จากการสลายตัว มี 3
ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา
การแผ่รังสี จะทำให้เกิดธาตุใหม่ได้
หรืออาจเป็นธาตุเดิมแต่จำนวนโปรตอนหรือนิวตรอนอาจไม่เท่ากับธาตุเดิม
และธาตุกัมมันตรังสีแต่ละธาตุ
มีระยะเวลาในการสลายตัวแตกต่างกันและแผ่รังสีได้แตกต่างกัน
เรียกว่าครึ่งชีวิตของธาตุ
โดยครึ่งชีวิตเป็นสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทปและสามารถใช้เปรียบเทียบอัตราการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีแต่ละชนิดได้
ตัวอย่างเช่น ไอโอดีน-131 มีครึ่งอายุ 8
วัน เมื่อนำมาเก็บเป็นเวลา 40 วัน
จะเหลือความเเรงรังสีเพียง 3 % เท่านั้น
สารบางตัวมีครึ่งอายุค่อนข้างนาน เช่น โคบอลท์-60 มีครึ่งอายุ
5.2 ปี, ถ้าต้องการให้เหลือความเเรงรังสี 3% ต้องเก็บนานถึง 25 ปี
ส่วนแร่ซีเซียม-137 มีครึ่งชีวิต 30 ปี
ต้องใช้เวลานานถึง 150 ปี จึงจะเหลือความเเรงรังสี 3%
สารกัมมันตรังสีบางชนิดมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เช่น แร่เรเดียม-226,ยูเรเนียม-238 ฯลฯ
แต่ที่มีใช้ในวงการแพทย์ปัจจุบันเป็นสารที่มนุษย์ผลิตขึ้น เช่น โคบอลท์-60,
ซีเซียม-137, อิริเดียม-192
เป็นต้น
ชนิดและสมบัติของรังสีบางชนิด
Cesium-137,Cs-137,ซีเซียม-137 คือ
ไอโซโทปของซีเซียมซึ่งเป็นสารกัมมันตภาพรังสี มีครึ่งชีวิต (half
life) 30 ปี สลายโดยปล่อยรังสีบีตาและรังสีแกมมา เป็นหนึ่งในผลผลิตการแบ่งแยกนิวเคลียส
พบในฝุ่นกัมมันตรังสีที่ตกค้างจากการทดลองลูกระเบิดอะตอม
และจากอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ใช้เป็นตัวชี้บอกปริมาณนิวไคลด์กัมมันตรังสี(activity
of a radionuclide) ในอาหารที่ผ่านการฉายรังสี (food
irradiation) หรือการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีที่เกิดการปนเปื้อนในอาหารจากสิ่งแวดล้อมโดยไม่เจตนา
การปนเปื้อนของซีเซียม-137
ในอาหาร
การปนเปื้อนของซีเซี่ยม-137
ในสิ่งแวดล้อมจากอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ มีโอกาสได้โดยตกค้างใน
สิ่งแวดล้อม แหล่งน้ำพืช สัตว์ จะแพร่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ได้
ทางห่วงโซ่อาหาร ด้วยการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน
การวัดค่า และ ปริมาณซีเซียม-137
มาตรฐานในอาหาร
การวัดปริมาณจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี
มีหน่วยในระบบ SI เป็นเบคเคอเรล (Becquerel,Bq)
หมายถึงจำนวนนิวเคลียสของสารกัมมันตรังสีที่แตกตัวในหนึ่งวินาที (decays
per second)
องค์การอาหารและยา
กำหนดให้ตรวจปริมาณการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในอาหาร 3 ชนิดคือ
ไอโอดีน 131 (Iodine-131) ซีเซียม 137
(Cesium-137) และซีเซียม 134 (Cesium-134) หน่วยวัดปริมาสารกัมมันตรังสีในเครื่องดื่มหรือของเหลวจะใช้หน่วย
“เบคเคอเรลต่อลิตร” ส่วนอาหารหรือของแข็งจะมีหน่วยเป็น “เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม”
อันตรายจากซีเซียม -137
ซีเซียม-137
เป็นอันตรายทางอาหาร (food hazard) ประเภทอันตรายทางเคมี
(chemical hazard) เมื่อได้รับเข้าไปในร่างกาย
จะกระจายไปทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ
และส่วยน้อยอยู่ในตับและไขกระดูก แต่จะถูกขับออกโดยกระบวนการทางชีวภาพ
ทางเหงื่อและ ปัสสาวะ
ซีเซียม-137
เป็นสารก่อมะเร็ง โอกาสที่จะเป็นมะเร็งคือต้องกินสารปนเปื้อนนั้น
เป็นระยะเวลานานๆ ต่อเนื่องกันมากกว่า พิษของของ ซีเซียม-137 ให้ผลรุนแรงน้อยกว่า
ไอโอดีน-131
ไอโอดีน-131 (I-131)
I-131 เป็นไอโซโทปรังสีรุ่นแรก
ๆ ของโลก nuclear medicine เลยก็ว่าได้ I-131 เป็นที่รู้จักและถูกนำมาใช้ด้านการแพทย์
I-131 ที่ได้จะต้องผ่านการทดสอบคุณภาพทั้งทางด้าน chemical
purity, radiochemical purity, radionucledic purity และด้านอื่นอีก
ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต
รังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสี
คือ กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) เมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไปทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต
2 แบบ คือ
1. ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย
คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย
เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก
(leukemia) เกิดต้อกระจก (cataracts)
ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น
ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับ ส่วนของร่างกายที่ได้
และอายุของผู้ได้รับรังสี
2. ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์
คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลงมีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้
โดยหลักการการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในน้ำทะเล จะส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ในสัตว์ทะเลได้ โดยเฉพาะที่กลุ่มสารกัมมันตรังสีที่ให้เบต้า จะมีผลต่อการกลายพันธุ์ ทั้งนี้ต้องขึ้นกับปริมาณการรับและการสะสม เช่น หากสารกัมมันรังสีลงไปในน้ำ และแพลงก์ตอนรับสารรังสีเข้าไป เมื่อหอย ปลา กินแพลงก์ตอนเป็นล้านตัว จะเพิ่มความเข้มข้นไปเรื่อยๆสะสมในห่วงโซ่อาหาร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีผลการยืนยันที่ชัดเจนว่าจะถึงขั้นเปลี่ยนระบบนิเวศน์ใต้ทะเลหรือไม่ แต่มีความเสี่ยงต่อการทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์มากกว่า
อาการที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากได้รับกัมมันตรังสีโดยไม่มีการควบคุม
• คลื่นไส้
อาเจียน
• อ่อนเพลีย
• เม็ดเลือดขาวถูกทำลายอย่างรุนแรง
• ระบบการสร้างโลหิตจากที่ไขกระดูกบกพร่อง
• ร่างกายความต้านทานโรคต่ำ
• เกิดความผิดปกติบริเวณที่ถูกรังสี
เช่น ผิวหนังไหม้พุพอง ผมร่วง ปากเปื่อย เป็นต้น
การป้องกันอันตรายจากสารกัมมันตรังสี
รังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น
จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด
ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว
ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้
1. เวลาของการเผย
(time of exposure) โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุด
2. ระยะทาง (Distance)
การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีมาก ๆ
ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง
3. เครื่องกำบัง
(Shielding) เครื่องกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสีจะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้
ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสี และต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน
เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก
ประโยชน์จากการใช้ธาตุกัมมันตรังสี
1. ด้านธรณีวิทยา
การใช้คาร์บอน-14 (C-14) คำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ
2. ด้านการแพทย์
ใช้ไอโอดีน-131 (I-131) ในการติดตามเพื่อศึกษาความผิดปกติของต่อมไธรอยด์
โคบอลต์-60 (Co-60) และเรเดียม-226 (Ra-226)
ใช้รักษาโรคมะเร็ง
3. ด้านเกษตรกรรม
ใช้ฟอสฟอรัส 32 (P-32) ศึกษาความต้องการปุ๋ยของพืช
ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการ และใช้โพแทสเซียม-32 (K–32) ในการหาอัตราการดูดซึมของต้นไม้
4. ด้านอุตสาหกรรม
ใช้ธาตุกัมมันตรังสีตรวจหารอยตำหนิ เช่น รอยร้าวของโลหะหรือท่อขนส่งของเหลว
ใช้ธาตุกัมมันตรังสีในการ ตรวจสอบและควบคุมความหนาของวัตถุ
ใช้รังสีฉายบนอัญมณีเพื่อให้มีสีสันสวยงาม
5. ด้านการถนอมอาหาร
ใช้รังสีแกมมาของธาตุโคบอลต์-60 (Co–60) ปริมาณที่พอเหมาะใช้ทำลายแบคทีเรียในอาหาร
จึงช่วยให้เก็บรักษาอาหารไว้ได้นานขึ้น
6. ด้านพลังงาน
มีการใช้พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของยูรีเนียม-238
(U-238) ต้มน้ำให้กลายเป็นไอ แล้วผ่านไอน้ำไปหมุนกังหัน
เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง มาตรฐานอาหารที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ณ 11 เมษายน 2554 ให้อาหารที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี เป็นอาหารที่กำหนดมาตรฐาน ต้องมีมาตรฐานโดยตรวจพบสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนได้ไม่เกินปริมาณ ดังต่อไปนี้
(1) ไอโอดีน-131 (131I, Iodine-131) ไม่เกิน 100 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม (Bq/kg) หรือเบคเคอเรลต่อลิตร (Bq/l)
(2) ซีเซียม-134 (134Cs, Cesium-134) และซีเซียม-137 (137Cs, Cesium-137) รวมกันไม่เกิน 500 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม (Bq/kg) หรือ เบคเคอเรลต่อลิตร (Bq/l)